วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
กลุ่ม Youth ที่ต้องทำความเข้าใจ
Youth = ผู้เยาว์วัย
ส่วนมากกลุ่มนี้จะเป็นผู้นำกระแสหลักให้แก่ผู้ใหญ่ เรื่อง Subculture (วัฒนธรรมย่อย) เพราะผู้ใหญ่เนี้ยไม่มีเวลา ไม่มีความคล่องแคล่วที่จะมาศึกษา Subculture ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เราจึงไม่แปลกครับว่าทำไมสื่อโฆษณาส่วนใหญ่ ที่ใช้กลุ่ม ผู้เยาว์วัยสื่อสารออกไปและกระแสตอบรับเป็นที่นิยมกว่า
ใน Youth จะแตกกลุ่มออกเป็น 3 กลุ่มหลักๆกลุ่มแรกเริ่มจาก
Youth ที่หัวก้าวหน้ากล้าทดลอง(early adoptor) จะเป็นกลุ่มที่ชอบกล้าทดลองกับสินค้า/บริการใหม่ๆ เป็นกลุ่มที่นักการตลาดทุกคนจับตามองเพราะ ผู้เยาว์วัยกลุ่มนี้ สามารถนำ สินค้า/บริการเข้าสู่กระแสหลักในสังคมได้ง่าย และเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มชักจูงบอกต่อไปยังปัจจัย F- factor ( Friends - Facebook - Families -Twitter Followers )
Youth ที่เป็นผู้นำกระแส (Trendsetter) กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่ม Now-Generation customer ถือว่าเป็นผู้บริโภคในยุคปัจจุบันเลยก็ว่าได้ ที่แบบต้องการทุกสิ่งทุกอย่างในทันที มีพฤติกรรมที่คล่องแคล่วติดตามกระแส นักการตลาดมองว่า ข้อดีของผู้เยาว์วัยกลุ่มนี้คือ สามารถจับกระแสที่มีอิธิพลต่อการตลาดในอนาคตได้
กลุ่มผู้เยาว์ที่เป็นผู้นำกระแส มักกระจายตัวกันอยู่เป็นกลุ่มๆ (fragmented) สระแสที่พวกเขาติดตามอาจจะอยู่ในกลุ่มของ กีฬา แฟชั่น อาหาร รถยนต์ เป็นต้น และก็มีหลากหลายกลุ่มที่ติดตามมาก
Youth ที่เป็นผู้พลิกเกมส์(Game changer) กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่มีพฤติกรรมที่ไม่ชอบรับผิดชอบต่ออะไร, และด้วยแนวโน้มที่มีการเปลี่ยนแปลงจากการเข้ามาของ ยุคดิจิทัล ที่ทำให้กลุ่มนี้เริ่มมีบทบาทในการเสียสละบางอย่างเพื่อให้ได้บางสิ่งมา ยกตัวอย่างเช่น เด็กนักเรียนในโรงเรียนที่ไม่ชอบทำกิจกรรมและไม่ชอบมีส่วนร่วมกับสิ่งอื่นๆ อาจารย์ให้ได้โอกาสการแสดงกิจกรรมของเด็กกลุ่มนี้โดยที่ให้ ทำกิจกรรมอาสาเพื่อให้ได้คะแนนพิเศษเพิ่มเพื่อประเมินถึงผลการเรียนในอนาคต ผมเห็นว่าเป็นอย่างสร้างแรงบันดาลใจ / จูงใจอย่างนึง ที่จะต่อยอดไปถึง กิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม
สรุปคือ Youth เป็นกุญแจสำคัญที่มีต่อส่วนแบ่งความคิด (Mind - Share) ถ้าอยากโน้มน้าวกลุ่มนี้ง่ายๆเลยคือทำให้ Youth เชื่อ
credit รูปภาพ http://niagarajazzfestival.com/jazz-4-the-ages-youth-winners/
#Ball.nava
วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
พฤติกรรมการเชื่อมโยงของผู้บริโภคที่มีต่อสินค้า
การเชื่อมโยงถึงกัน ได้เปลี่ยนวิถีพฤติกรรมของผู้บริโภคไปอย่างสิ้นเชิง
ยกตัวอย่าง เวลาซื้อของภายในร้าน
ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะค้นหาข้อมูล เพื่อเปรียบเทียบราคา
อ่านรีวิวผลิตภัณฑ์
บริษัทหลายๆแห่งเริ่มมีการปรับตัว ทุกๆครั้งที่ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ จะเตรียมข้อมูลที่ผู้บริโภคอยากรู้สื่อสารออกไป โดยผ่านบุคคลอ้างอิงในสังคม ที่จะช่วยเป็นสื่อกลางในการบอก
ยกตัวอย่าง บริษัทประกันชีวิต
โฆษณาโดยสื่อสารถึงเงื่อนไขในเชิงลบ (เงื่อนไขที่ผู้บริโภคหาข้อมูลเองจากแหล่งอื่นๆ) เพื่อที่ไม่ให้ผู้บริโภคสับสนข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ เมื่อผู้บริโภครับรู้ถึงเงื่อนไขในเชิงลบ ก็จะนำไปเปรียบเทียบกับคู่แข่งโดยธรรมชาติ
#ball.nava
ยกตัวอย่าง เวลาซื้อของภายในร้าน
ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะค้นหาข้อมูล เพื่อเปรียบเทียบราคา
อ่านรีวิวผลิตภัณฑ์
บริษัทหลายๆแห่งเริ่มมีการปรับตัว ทุกๆครั้งที่ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ จะเตรียมข้อมูลที่ผู้บริโภคอยากรู้สื่อสารออกไป โดยผ่านบุคคลอ้างอิงในสังคม ที่จะช่วยเป็นสื่อกลางในการบอก
ยกตัวอย่าง บริษัทประกันชีวิต
โฆษณาโดยสื่อสารถึงเงื่อนไขในเชิงลบ (เงื่อนไขที่ผู้บริโภคหาข้อมูลเองจากแหล่งอื่นๆ) เพื่อที่ไม่ให้ผู้บริโภคสับสนข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ เมื่อผู้บริโภครับรู้ถึงเงื่อนไขในเชิงลบ ก็จะนำไปเปรียบเทียบกับคู่แข่งโดยธรรมชาติ
#ball.nava
วันพุธที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
Power Shift to the Connected Customers
A few years ago, taxi companies and hotel chains would not imagine competing for passengers and guests with technology "Start-ups" such as Uber and Airbnb, which provide private transportation and lodging.
วันพฤหัสบดีที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2560
ความแตกต่าง
Outside-in differentiation ความแตกต่างจากภายนอก
เป็นความแตกต่างที่เราสามารถมองเห็นได้ คนอื่นๆก็มองเห็นได้เช่นเดียวกัน เมื่อผู้คนจำนวนมากมุ่งสู่ความแตกต่างเดียวกัน สุดท้ายก็จะลงเอยที่ทุกคนไม่มีความแตกต่างกัน
Inside-out differentiation ความแตกต่างที่มาจากข้างใน
เพราะความจริงคือ ความแตกต่างไม่สามารถหาได้จากข้างนอก ความแตกต่างที่แท้จริงต้องสะท้อนมาจากข้างใน และต่อยอดมาจาก "ตัวตนของเรา"นั้นเอง
Ball.nava #หัดเขียน
เป็นความแตกต่างที่เราสามารถมองเห็นได้ คนอื่นๆก็มองเห็นได้เช่นเดียวกัน เมื่อผู้คนจำนวนมากมุ่งสู่ความแตกต่างเดียวกัน สุดท้ายก็จะลงเอยที่ทุกคนไม่มีความแตกต่างกัน
Inside-out differentiation ความแตกต่างที่มาจากข้างใน
เพราะความจริงคือ ความแตกต่างไม่สามารถหาได้จากข้างนอก ความแตกต่างที่แท้จริงต้องสะท้อนมาจากข้างใน และต่อยอดมาจาก "ตัวตนของเรา"นั้นเอง
Ball.nava #หัดเขียน
วันศุกร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2560
ครั้งแรกในชีวิตกับการสัมภาษณ์งาน
ครั้งแรกกับการสัมภาษณ์งานในครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีเลยก็ว่าได้เลยครับ
ผมได้รับโทรศัพท์ของตอนเช้าวันที่20/กย/60 และได้ตกลงนัดสัมภาษณ์ไปในเช้าวันที่ 21/กย/60 เวลา8โมง โดยก่อนจะวางสายเจ้าหน้าที่HR บอกให้เตรียมคิดเลข คิดอัตราส่วนร้อยละมาด้วยนะ ผมก็ บอก "อ่อครับๆ"
17.00 - 19.00pm
ผมใช้เวลาเตรียมเอกสารรูปถ่าย เตรียมอะไรต่างๆนาๆนานมากๆเพราะหาทะเบียนบ้านไม่เจอ และบัตรประชาชนก็ไม่รู้อยู่ที่ไหน ผมหมดเวลากับตรงนี้ไปนานมากเกือบๆ2ชั่วโมง ผมวิ่งไปกลับร้านถ่ายเอกสารแถวบ้านหลายรอบมากๆ เพราะหลังจากได้ transcript ก็ลงหาสมัครงานเลย แต่ไม่ได้เตรียมเอกสารผมจะจำ!!!!ว่าจะไม่ให้เกิดขึ้นอีกเตรียมให้พร้อม
19.30 - 22.30pm
หลังจากได้เอกสารครบก็รีบไปหาข้อมูลเกี่ยวกับอัตราร้อยละ ที่เคยได้เรียนในมหาวิทยาลัย และก็ลองเอาโจทย์เก่าๆมาทำผมใช้เวลากับมัน 3 ชั่วโมงในการทบทวน เมื่อถึงเวลา4ทุ่มครึ่งก็อาบน้ำ
ผมก็นอน....ข่มตาก็ไม่หลับเกิดคำถามในใจมากมายว่าจะตอบอย่างไรแบบไหน ถ้าเขาถามแบบนี้จะอธิบายอย่างไร มีความตื่นตัวตื่นเต้น กว่าจะข่มตาหลับได้ก็ตี1กว่าๆตื่นมาอีกทีตี 5.40am ผมอาบน้ำออกจากบ้าน 6.15am
ผมเดินเข้าไปฝ่ายบุคคล เจ้าหน้าที่ HR เอาใบกรอกประวัติส่วนตัวมาให้ พร้อมกับบอกว่า ถ้ากรอกเสร็จแล้ว เอาแบบทดสอบไปทำด้วยนะค่ะ
วินาทีที่ผมเปิดแบบทดสอบก็แอบตกใจว่าเห้ย!!!!!!!!!! มันทำได้นะแต่......เราไม่รู้ข้อมูลอะไรเลยเกี่ยวกับ บริษัทเขา และเราจะทำอย่างไรผมนั้งตกใจ คำถามก็เด้งเข้ามาในหัวว่าเราจะทำไงวะ อัตราร้อยละมันเกี่ยวกับเรื่องนี้นิเหรอ? ผมตั้งสตินั้งทำแบบทดสอบเสร็จละส่ง ปรากฏว่าผิด!!! พี่HRก็ส่งกลับมาให้ทำใหม่ พร้อมทั้งกดดันผมอยู่ข้างหลัง ผมไม่มีอะไรเลยมีแต่กระดาษทด และเครื่องคิดเลข ปากกากับดินสอ และก็ได้ทำจนสุดความสามารถ ผมก็ส่งไปเขาก็บอกมาว่า จะลงสาขานี้ใช้ไหมครับผมก็ตอบครับและเขาก็บอกจะติดต่อกลับมา ผมก็ได้แต่ รอ ร๊อ รอ.... พร้อมกับจำไว้ว่าวันหลังหากไปอีก จะต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง
(กระดาษทด)
สรุปได้ว่า เป็นประสบการณ์ที่ดีครับกับการสัมภาษณ์งานครั้งแรกในชีวิตและจะทำไปตลอดว่าจะต้องทำไรบ้าง
1.เอกสาร
2.ศึกษาข้อมูลบริษัท เตรียมตัวมาดีๆ
3.ความคิด ความรู้ในตำแหน่งงานที่เราจะเข้าไปทำ
4.ความพร้อม
หวังว่าคงจะเป็นประโยนช์แก่ทุกๆคนนะครับ
ผมได้รับโทรศัพท์ของตอนเช้าวันที่20/กย/60 และได้ตกลงนัดสัมภาษณ์ไปในเช้าวันที่ 21/กย/60 เวลา8โมง โดยก่อนจะวางสายเจ้าหน้าที่HR บอกให้เตรียมคิดเลข คิดอัตราส่วนร้อยละมาด้วยนะ ผมก็ บอก "อ่อครับๆ"
17.00 - 19.00pm
ผมใช้เวลาเตรียมเอกสารรูปถ่าย เตรียมอะไรต่างๆนาๆนานมากๆเพราะหาทะเบียนบ้านไม่เจอ และบัตรประชาชนก็ไม่รู้อยู่ที่ไหน ผมหมดเวลากับตรงนี้ไปนานมากเกือบๆ2ชั่วโมง ผมวิ่งไปกลับร้านถ่ายเอกสารแถวบ้านหลายรอบมากๆ เพราะหลังจากได้ transcript ก็ลงหาสมัครงานเลย แต่ไม่ได้เตรียมเอกสารผมจะจำ!!!!ว่าจะไม่ให้เกิดขึ้นอีกเตรียมให้พร้อม
19.30 - 22.30pm
หลังจากได้เอกสารครบก็รีบไปหาข้อมูลเกี่ยวกับอัตราร้อยละ ที่เคยได้เรียนในมหาวิทยาลัย และก็ลองเอาโจทย์เก่าๆมาทำผมใช้เวลากับมัน 3 ชั่วโมงในการทบทวน เมื่อถึงเวลา4ทุ่มครึ่งก็อาบน้ำ
ผมก็นอน....ข่มตาก็ไม่หลับเกิดคำถามในใจมากมายว่าจะตอบอย่างไรแบบไหน ถ้าเขาถามแบบนี้จะอธิบายอย่างไร มีความตื่นตัวตื่นเต้น กว่าจะข่มตาหลับได้ก็ตี1กว่าๆตื่นมาอีกทีตี 5.40am ผมอาบน้ำออกจากบ้าน 6.15am
ผมเดินเข้าไปฝ่ายบุคคล เจ้าหน้าที่ HR เอาใบกรอกประวัติส่วนตัวมาให้ พร้อมกับบอกว่า ถ้ากรอกเสร็จแล้ว เอาแบบทดสอบไปทำด้วยนะค่ะ

(กระดาษทด)
สรุปได้ว่า เป็นประสบการณ์ที่ดีครับกับการสัมภาษณ์งานครั้งแรกในชีวิตและจะทำไปตลอดว่าจะต้องทำไรบ้าง
1.เอกสาร
2.ศึกษาข้อมูลบริษัท เตรียมตัวมาดีๆ
3.ความคิด ความรู้ในตำแหน่งงานที่เราจะเข้าไปทำ
4.ความพร้อม
หวังว่าคงจะเป็นประโยนช์แก่ทุกๆคนนะครับ
วันจันทร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2560
สรุปหนังสือ BRANDiNG4.0
BRANDiNG4.0 เป็นหนังสือที่เขียนโดย คุณปิยะชาติ อิศรภักดี โดยอิงทฤษฏีจากท่าน Professor Philip Kotler ซึ่งเกี่ยวกับการสร้างแบรนด์ในยุคสังคมดิจิทัลหรือยุค 4.0 "ที่คนกลายเป็นBrand" และ "Brandกลายเป็นคน" โดยจากที่ผมได้อ่านและได้สรุปไว้ดังนี้
ในยุคเนี้ยพฤติกรรมคนได้เปลี่ยนไป เพราะคนสมัยนี้ชอบฟังข้อมูล
เพื่อน (Friends)
ครอบครัว (Family)
Facebook และ Twitter Follwers
และคนเขียนได้บอกไว้ว่า. ในยุคเนี้ยยยยแบรนด์ไม่ได้เป็นแค่เครื่องหมายกา
กฎข้อที่ 1 เชื่อมโยงอย่างสมบูรณ์ในโลก
โดยสร้างการรับรู้, ความคุ้นเคย เพื่อให้ผู้บริโภคเชื่อมโยงบางอย่างกับBrandได้ ประกอบกับ
โลก
โลก online จะสร้างความตัดสินใจจากข้อมูล (Information)
โลก offline จะเป็นตัว Touch point ตามพื้นที่ต่างๆ ถ้าBrand touch point ดีผู้บริโภคจะสื่อสารไปเอง โดยผ่านคุณค่าร่วม(Share Value)
และเปลี่ยนจากช่องทางการสื่อสาร(Communication) แบบเดิมๆ สู่การสร้าง Brand touch point ตามพื้นที่ต่างๆ
กฎข้อที่ 2 ทำให้ Brand มีชีวิต
โดยสร้างจากสิ่งเหล่านี้
1. สิ่งที่แบรนด์"คิด" หรือ แก่นแท้ของแบรนด์ Brand Essencess (ทำให้ความคิดจับต้องได้)
2. "ตัวตน"ของแบรนด์ หรือ บุคลิกภาพของแบรนด์ Brand Personality (มีชีวิต มีตัวตน มีเรื่องราว)
3. "อัตลักษณ์ของแบรนด์" หรือ จุดเด่น Brand Identity System (สร้างความแตกต่างจากตัวตนของแบรนด์)
4. การรับรู้ของผู้บริโภคที่แบรนด์คาดหวัง หรือ การเชื่อมโยงกับผู้บริโภค Brand Expected Perception
5. การกระทำของแบรนด์ Brand Action
กฎข้อที่ 3 สร้างเครือข่ายของแบรนด์จากคุณค่าร่วม(Share Value) จน แบรนด์กับผู้บริโภค เป็นเพื่อนกันหรือก็คือเชื่อมโยงกับผู้คนนั้นเองครับ
และเล่มนี้ยังพูดถึง CSV : Creating Shared Values (คุณค่าที่องค์กรเห็นร่วมกันกับสังคม) ซึ้งเป็นแนวคิดของ Professor Michael E. Porter แห่งมหาลัยฮาร์วาร์ด ที่ในปัจจุบันหลายๆองค์กรในประเทศไทยเริ่มมีการนำมาปรับใช้กันแล้วครับ
ballnava
#หัดเขียน
วันพฤหัสบดีที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2560
Product Life Cycle
Product Life Cycle หรือ วงจรชีวิตผลิตภัณฑ์
ส่วนนี้ก็สำคัญมากครับในการทำธุรกิจต่างๆ ซึ่ง!!!เราจะใช้วิเคราะห์เพื่อที่จะรู้ว่าสินค้าหรือบริการของเราเนี้ยอยู่ตรงจุดไหน ระดับใด? เพื่อที่จะกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดได้อย่างถูกต้องและตรงจุดมากขึ้นครับ ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจที่ปิดกิจการไปนั้น #ProductLifeCycle ก็มีส่วนเกี่ยวมากๆครับ เนื่องจากว่าการกำหนดกลยุทธ์ของเราเนี้ย ไม่ตรงกับตำแหน่ง #ProductLifeCycle ซึ่งจะทำให้สิ้นเปลืองงบและขาดทุนในที่สุด เรามาดูกันครับว่าในการ วิเคราะห์ #ProductLifeCycle หรือ วงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ เขาจะดูจากปัจจัยทั้ง5ครับ
1.ยอดขาย มากหรือน้อย
2.ต้นทุน ใช้เงินเยอะหรือน้อย
3.เราได้กำไร หรือ เราขาดทุน
4.อัตราการเจริญเติบโตของสินค้าในตลาด สินค้ามีความต้องการจากผู้บริโภคไหม
5.สภาพการแข่งขันหรือคู่แข่งเรานั้นเอง มีมากหรือน้อย
ถ้าสินค้าเราอยู่ในขั้น
1. Introduction (ขั้นแนะนำ) ก็คือสินค้าเราเพิ่งเข้าตลาด ส่วนใหญ่เขาใช้กลยุทธ์แบบ Build ก็คือ ลงทุนเกี่ยวกับการตลาดพวกโฆษณาเพื่อสร้างให้คนรู้จักร ให้คนได้ทดลองใช้สินค้า ซึ่งในการทำ Build จะต้องขาดทุน เนื่องจากเราใช้ต้นทุนทางการตลาดเยอะ มีสินค้าบางตัวอยู่ในตลาดมา 10-20ปี ก็ยังค้างอยู่ในช่วง Introduction (แนะนำ) ระยะเวลาที่เป็นปีนั้นไม่สามารถกำหนดสินค้าใน Product Life Cycle ได้นอกจากปัจจัยทั้ง5
2. Growth (ขั้นเจริญเติบโต) หรือขั้นที่แบบยอดขายปัง คนรู้จักร การเติบโตของสินค้าเราสูงมากคนต้องการชื้อสินค้าของเรามาก ไอขั้นเนี้ย ก็ยังทำ Build อยู่แต่จะเป็นการทำ ปรับปรุงProduct โดยเพิ่มคุณสมบัติใหม่ๆ ทำContentให้คนที่รู้จักรสินค้าเปลี่ยนมาเป็นชอบสินค้าของเรา แต่ไอขั้นเนี้ยเราจะได้กำไรนะ จะไม่ขาดทุนเพราะเรามียอดขายที่ปัง และสินค้าเราเติบโตแต่ข้อควรระวังคือการเก็บ stock สินค้าระบบการจัดการก็ต้องดีด้วย
3. Maturity (ขั้นเจริญเติบโตเต็มที่) หรือเรียกได้ง่ายๆว่า อิ่มตัวนั้นแหละคือยอดขายจะแบบคงที่ไม่สูงไม่ต่ำแต่ก็มีแนวโน้มลดลงหรืออาจจะเพิ่มขึ้น แต่ในส่วนของกำไรเนี้ยจะค่อยๆลดลงซึ่งในขั้นเนี้ยจะมีการแข่งขันที่แบบรุนแรงมากเนื่องจากมีการช่วงชิงตลาดกัน เป็นขั้นที่ท้าทายที่สุดของนักการตลาดเลยครับ กลยุทธ์ที่ใช้กันก็พวก Hold ก็คือคุมไว้ ถือไว้ห้ามให้ตกดันให้สูงตลอด จะเป็นในรูปแบบของการ #เพิ่มกำไร รักษายอดขายไว้ และต้องคิด #innovation ใหม่ๆ เพื่อแย่งลูกค้ากันเพราะในขั้นเนี้ยการแข่งขันจะรุนแรงมากๆครับ
4. Decline (หรือขั้นถดถอย) สิ่งแรกที่ต้องทำคือทำใจครับ5555 เอ้ย!!!ไม่สิ มันต้องมีหนทางออก สิ่งแรกคือเราต้องทำ Harvest หรือการเก็บเกี่ยวนั้นเอง เก็บเกี่ยวทุกอย่างที่เรามองว่าจะได้กำไร ตัดสินค้าบางตัวที่ไม่สามารถทำรายได้ให้แก่เราออก เพราะไม่มีธุรกิจไหนที่จะอยากมายืนจุดนี้ครับ เพราะเป็นจุดที่ยอดขายตกต่ำ ต้นทุนต่อสินค้าก็ต่ำลงไปด้วย กำไรลดลงเริ่มมีการขาดทุนจึงไม่แปลกครับที่จะต้องเก็บเกี่ยวทุกอย่างที่จะสามารถทำกำไรและคืนทุน สุดท้ายหากไม่สามารถดันสินค้าออกจากขั้น Decline ได้ ธุรกิจก็อาจจะต้องปิดตัวลงครับ
และนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ได้เรียนรู้มาจากในห้องเรียนเท่าพอที่จะจำและอธิบายได้หวังว่าคงมีประโยชน์ต่อธุรกิจนะครับ
credit รูปภาพ semantics3.com
วันจันทร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2560
วิวัฒนาการ ของการตลาดในแต่ละยุค
เรามั้กจะได้ยินได้เห็นแต่คำว่า 4.0 ในยุคนี้ซึ่งเทรน 4.0 กำลังมารวมถึงการตลาด 4.0 แล้วด้วยคำถามที่ว่าก่อนจะมาเป็น 4.0 เนี้ย มันต้องมี 1.0 / 2.0 / 3.0 มาก่อนหน้านี้แล้วสิ แล้วในยุคนั้นมันเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างและอะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้เปลี่ยนแปลง ขอเริ่มจากยุคที่ก่อนจะมาเป็นการตลาดละกันครับ
ยุค Barter System (การแลกเปลี่ยนสินค้า)
คือยุคที่แบบไม่มีอะไรซับซ้อนมาก การแลกเปลี่ยนยังอิงสิ่งที่มนุษย์ต้องการตามพื้นฐานปัจจัย 4 หรือ ผมมีสิ่งที่คุณอยากได้ คุณมีสิ่งที่ผมต้องการ เราแลกเปลี่ยนกัน ต่อมาก็ได้ พัฒนามาเป็น
Marketing1.0 ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม(Industrialization Revolution)
เมื่อมีการแลกเปลี่ยนกันมาขึ้นผู้บริโภคก็มีความต้องการสูงขึ้น ผู้ผลิตก็มีความริเริ่มใช้เครื่องจักรและเทคโนโลยีมาช่วยในการผลิต(เวลานั้นจะให้ความสำคัญกับสินค้า) ซึ่งก็ย่อมทำให้เกิดการแข่งขันกันสูงขึ้น เริ่มมีการใช้ #Marketing Mix (4p's) ในการออกแบบการตลาด และเริ่มมีการทำ #MarketingResearch เพื่อใช้ในการคิดกลยุทธ์ การทำตลาดจะทำในแบบ #MassMarket ก็คือผลิตสินค้าแบบเดียวไม่มีสินค้าเฉพาะเจาะจงกลุ่มผู้บริโภค เช่น ยาสระผมก็คือยาสระผมจะไม่มีแบ่งแยกแบบ ของเด็ก ของคนโต ก็คือใช้แต่สระผมอะ
Marketing2.0 ยุคปฏิวัติข้อมูล (Information Revolution)
ก็คือการเริ่มเข้ามาของอินเตอร์เน็ต ผู้บริโภคเริ่มมีการหาข้อมูลทางเว็บไซร์ ในยุคเนี้ยจะเป็นการแข่งขันโดยแบบทำทุกอย่างให้ผู้บริโภคพึงพอใจ(Satisfaction)อะ เริ่มมีการนำกลยุทธ์ 4C's มาใช้ ซึ่งจะสอดคล้องกับ 4P's ในการออกแบบความพึงพอใจของผู้บริโภค และเป็นยุคที่เกิด E-commerce อย่างพวก e-bay, Amazon และ alibaba แล้วจุดสำคัญๆที่เกิดการเปลี่ยนแปลงก็คือ การทำตลาดจะเปลี่ยนจากการทำ Mass Market สู่การทำ SegmentationTargetingPositioning (STP การทำตลาดเฉพาะส่วน) แบบเจาะจงเพื่อให้เกิดความ Satisfaction แบบสุดๆไปเลย ถามว่าการตลาดเฉพาะส่วนหรือSTP คือไร ยกตัวอย่าง รองเท้า nike โดยจากเดิมเป็นรองเท้ากีฬาทั่วๆไป เริ่มมีการทำเฉพาะส่วนก็คือ รองเท้าสำหรับวิ่ง, บาส, weight training เป็นต้น และเมื่ออินเตอร์เน็ตมีบทบาทมากขึ้นๆ ประกอบกับการพัฒนาของโทรศัพท์มือถือ ยุคนั้น Steve Job เริ่มมีบทบาทก็เข้าสู่ยุคถัดไป
Marketing 3.0 ยุคเครือข่าย สังคมออนไลน์(Social Media)
ก็คือยุคที่เพิ่มความสามารถในการสื่อสาร ในการส่งข้อมูลระหว่างกัน ซึ่งมีความรวดเร็วในการโต้ตอบ จึงทำให้ คนรวมกลุ่มกันในสังคมOnlineมาเป็น #SocialNetwork ทำให้เกิดเครื่องมือสื่อสังคมออนไลน์ #SocialMedia แต่ในการทำการตลาดยุคเนี้ยจะเป็นการทำแบบ เพิ่มคุณค่าให้กับ#Brand มีการใช้ #Content(เรื่องราว) ในการสนับสนุน เพื่อให้เกิดคุณค่า
Marketing 4.0 ยุคสังคมดิจิทัล
ไอยุคสังคมดิจิทัลเนี้ยย เป็นยุคที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ณ ตอนนี้ และ เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค โดยจะอิงระหว่าง #AIDA กับ #5A ของทฤษฎี Philip Kotler ที่จะเป็นตัวอ้างอิง และในยุคเนี้ยผู้คนเริ่มมีการมองหาส่วนที่จะเติมเต็มความสมบูรณ์แบบในชีวิต รวมถึงผู้คนเริ่มมีความต้องการที่จะเป็นที่ยอมรับจากคนรอบข้าง และพัฒนามาสู่ความต้องการที่จะเป็น ที่รู้จักรยอมรับของคนในสังคม Online มากขึ้น หรือการทำทุกอย่างให้ผู้คนได้จดจำ
ballnava
#หัดเขียน
ยุค Barter System (การแลกเปลี่ยนสินค้า)
คือยุคที่แบบไม่มีอะไรซับซ้อนมาก การแลกเปลี่ยนยังอิงสิ่งที่มนุษย์ต้องการตามพื้นฐานปัจจัย 4 หรือ ผมมีสิ่งที่คุณอยากได้ คุณมีสิ่งที่ผมต้องการ เราแลกเปลี่ยนกัน ต่อมาก็ได้ พัฒนามาเป็น
Marketing1.0 ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม(Industrialization Revolution)
เมื่อมีการแลกเปลี่ยนกันมาขึ้นผู้บริโภคก็มีความต้องการสูงขึ้น ผู้ผลิตก็มีความริเริ่มใช้เครื่องจักรและเทคโนโลยีมาช่วยในการผลิต(เวลานั้นจะให้ความสำคัญกับสินค้า) ซึ่งก็ย่อมทำให้เกิดการแข่งขันกันสูงขึ้น เริ่มมีการใช้ #Marketing Mix (4p's) ในการออกแบบการตลาด และเริ่มมีการทำ #MarketingResearch เพื่อใช้ในการคิดกลยุทธ์ การทำตลาดจะทำในแบบ #MassMarket ก็คือผลิตสินค้าแบบเดียวไม่มีสินค้าเฉพาะเจาะจงกลุ่มผู้บริโภค เช่น ยาสระผมก็คือยาสระผมจะไม่มีแบ่งแยกแบบ ของเด็ก ของคนโต ก็คือใช้แต่สระผมอะ
Marketing2.0 ยุคปฏิวัติข้อมูล (Information Revolution)
ก็คือการเริ่มเข้ามาของอินเตอร์เน็ต ผู้บริโภคเริ่มมีการหาข้อมูลทางเว็บไซร์ ในยุคเนี้ยจะเป็นการแข่งขันโดยแบบทำทุกอย่างให้ผู้บริโภคพึงพอใจ(Satisfaction)อะ เริ่มมีการนำกลยุทธ์ 4C's มาใช้ ซึ่งจะสอดคล้องกับ 4P's ในการออกแบบความพึงพอใจของผู้บริโภค และเป็นยุคที่เกิด E-commerce อย่างพวก e-bay, Amazon และ alibaba แล้วจุดสำคัญๆที่เกิดการเปลี่ยนแปลงก็คือ การทำตลาดจะเปลี่ยนจากการทำ Mass Market สู่การทำ SegmentationTargetingPositioning (STP การทำตลาดเฉพาะส่วน) แบบเจาะจงเพื่อให้เกิดความ Satisfaction แบบสุดๆไปเลย ถามว่าการตลาดเฉพาะส่วนหรือSTP คือไร ยกตัวอย่าง รองเท้า nike โดยจากเดิมเป็นรองเท้ากีฬาทั่วๆไป เริ่มมีการทำเฉพาะส่วนก็คือ รองเท้าสำหรับวิ่ง, บาส, weight training เป็นต้น และเมื่ออินเตอร์เน็ตมีบทบาทมากขึ้นๆ ประกอบกับการพัฒนาของโทรศัพท์มือถือ ยุคนั้น Steve Job เริ่มมีบทบาทก็เข้าสู่ยุคถัดไป
Marketing 3.0 ยุคเครือข่าย สังคมออนไลน์(Social Media)
ก็คือยุคที่เพิ่มความสามารถในการสื่อสาร ในการส่งข้อมูลระหว่างกัน ซึ่งมีความรวดเร็วในการโต้ตอบ จึงทำให้ คนรวมกลุ่มกันในสังคมOnlineมาเป็น #SocialNetwork ทำให้เกิดเครื่องมือสื่อสังคมออนไลน์ #SocialMedia แต่ในการทำการตลาดยุคเนี้ยจะเป็นการทำแบบ เพิ่มคุณค่าให้กับ#Brand มีการใช้ #Content(เรื่องราว) ในการสนับสนุน เพื่อให้เกิดคุณค่า
Marketing 4.0 ยุคสังคมดิจิทัล
ไอยุคสังคมดิจิทัลเนี้ยย เป็นยุคที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ณ ตอนนี้ และ เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค โดยจะอิงระหว่าง #AIDA กับ #5A ของทฤษฎี Philip Kotler ที่จะเป็นตัวอ้างอิง และในยุคเนี้ยผู้คนเริ่มมีการมองหาส่วนที่จะเติมเต็มความสมบูรณ์แบบในชีวิต รวมถึงผู้คนเริ่มมีความต้องการที่จะเป็นที่ยอมรับจากคนรอบข้าง และพัฒนามาสู่ความต้องการที่จะเป็น ที่รู้จักรยอมรับของคนในสังคม Online มากขึ้น หรือการทำทุกอย่างให้ผู้คนได้จดจำ
ballnava
#หัดเขียน
วันเสาร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2560
10 เรื่องที่จะนำพาสู่ความล้มเหลว

ผมได้มีโอกาสฟัง audio book เรื่อง THINK AND GROW RICH ของ NAPOLEON HILL ซึ่งผมก็ได้ใจความที่สรุปมาให้แง่คิดดีมากๆเลยครับ และที่ผมยกมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งภายในเล่ม โดยใจความที่ผมยกมานั้นไม่ว่าจะอ่านกี่รอบก็จะตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ของตัวเราได้ดีมากๆเลยครับ ลองดูละกันครับว่าใน10เรื่องนี้จะตรงกับเรากี่ข้อ? และเราจะแก้ไขมันได้อย่างไร ในฐานะบทบาทผู้นำ ไม่ว่าจะเป็นผู้นำในฐานะ ครอบครัว, เพื่อน, หน้าที่การงาน, โรงเรียน และในมหาวิทยาลัย
10 เรื่องที่จะนำพาผู้นำสู่ความล้มเหลว
1. ไม่สามารถจัดการกับเรื่องปลีกย่อยได้ เช่น ไม่มีความสามารถในการจัดการเรื่องปลีกย่อย อย่างบริหารจัดการตัวเอง และไม่สามารถแบ่งเวลาได้
2. ไม่เต็มใจทำงานบริการที่ต่ำกว่าหน้าที่ อย่างเช่น ผู้นำที่ดีนั้นควรทำงานที่สั่งให้คนอื่นทำได้ และบุคคลที่ยิ่งใหญ่คือคนที่พร้อมจะรับใช้ทุกคน
3. คาดหวังผลตอบแทนจากความรู้ มากกว่าการใช้ความรู้ที่มีลงมือทำงาน มีความโลภมาก ไม่จ่ายค่าตอบแทนในสิ่งที่คนรู้ หรือสั่งให้คนอื่นทำ
4. หวาดกลัวการแข่งขันจากผู้ตาม(ลูกน้อง)
5. ไร้จินตนาการ จะทำให้เราไม่สามารถเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันว่าจะเกิดขึ้นได้ หรือไม่สามารถสร้างแผนฉุกเฉินรอรับกับปัญหาที่จะเกิดตามมาได้
6. ความเห็นแก่ตัว ผู้นำที่แอบอ้างความสำเร็จจากการทำงานของลูกน้อง ย่อมได้รับความเคลียดแค้นจากผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้นำที่แท้จริงย่อมไม่ขอรับเกียรติยศใดๆ ผู้นำที่ยิ่งใหญ่จะขอรับความพึงพอใจในความสำเร็จเท่านั้น
7. การทำตามใจตัวเอง ผู้ตามไม่นับถือผู้นำทำตามอำเภอใจ
8. ความไม่จงรักภักดีในองค์กร ต่อหน้าที่ ต่อผู้ใต้บังคับบัญชา
9. ให้ความสำคัญของอำนาจผู้นำมากเกินไป ผู้นำที่เก่งจะกระตุ้นเตือนคนที่ใช้อำนาจ จัดอยู่ในสภาวะผู้นำแบบบังคับควบคุม
10. ให้ความสำคัญแก่ยศ จะไม่ค่อยให้ความสำคัญแก่ผู้อื่น โดยมีความโอ้อวด
credit รูปภาพ : https://www.amazon.com/
วันพฤหัสบดีที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2560
ว่าด้วยเรื่อง กราฟ บาร์ Chart
มันทำให้ได้นึกถึงตอนได้ทำรายงานวิจัยกับเพื่อนๆในกลุ่ม ต่างคนก็ต่างคิดไม่ออกกันว่า เราจะใช้กราฟ อะไรดี? จะสื่อข้อความแบบไหนให้ข้อมูลยังไง?
ก็ได้อ่านบนความหลายๆแหล่ง ก็สรุปมาได้ประมาณนี้ เกี่ยวกับการใช้กราฟ
Conditional Format
อันนี้เหมาะเอาไว้อ่านเองดูเอง หรือเอาไว้นำเสนอก็ได้ แต่ก็จะมีข้อควรระวัง ก็คือตัวเลขจะเยอะมากๆ การใช้สีก็สำคัญ ควรเลือกใช้ ไฮไลท์ทำเป็นทีละแถวๆไป

Line Chart สำหรับข้อมูลที่เป็น time series
จะเห็นภาพ เห็น trend(แน้วโน้ม) สามารถเปรียบเทียบข้อมูลในช่วงระยะเวลากันได้ง่าย ว่าช่วงปีไหน วันไหน ที่กราฟมันตกลงมา หรือช่วงเวลาไหนที่กราฟมันเพิ่มขึ้น
ถ้าข้อมูลมันไม่ปะติปะต่อกัน แบบเช่น ไม่ใช่ตาม วัน/เดือน/ปี อย่าใช้ Line Chart เด็ดขาด ให้ไปใช้ Bar Chart แทน
เช่น เพศชายกับหญิงใครมากกว่ากัน หรือ รถยนต์ของแต่ละยี่ห้อที่มีคนชื้อไปแล้วกี่คัน ละเอาข้อมูลมาเปรียบเทียบกัน ไรแบบเนี้ย
TreeMap
เอาไว้ใช้เปรียบเทียบข้อมูลทาง ภูมิศาสตร์ อย่างเช่น ระดับทวีป, ประเทศ, จังหวัด, อำเภอ แบบเนี้ยผมก็ไม่ค่อยได้คุ้นหน้าคุ้นตากับเจ้ากราฟนี้เท่าไร ก็จะงงบ้างนิดหน่อย
stacked bar
barจะต้องมีหลายอันใน 1 แท้ง และข้อมูลที่อยู่ในส่วนย่อยๆในbar รวมกันจะต้องได้ 100% ทางซ้ายจะเป็นข้อมูลที่เยอะกว่า ส่วนบาร์ด้านขวาจะเป็นข้อมูลที่น้อยกว่า บาร์นี้เหมาะกับการสำรวจ ละเอามาเปรียบเทียบกัน
ยกตัวอย่างเช่น เราไปสำรวจพฤติกรรมการใช้ facebook ในกลุ่มประเทศในACE ยกกลุ่มตัวอย่างมา 3ประเทศมี ไทย, สิงค์โปร, มาเลเซีย ผู้บริโภคจะใช้ Facebook ในช่วงเวลาไหนกันบ้างแบ่งเป็นช่องๆคำตอบให้คนตอบว่า 1ตอนเช้า 2กลางวัน 3กลางคืน 4ใช้ตลอดเวลา
ข้อมูลที่ทำการรันผ่านSPSS จะได้มาประมาณเนี้ยแหละะ
ผมมาเขียนไว้เพื่อกันลืมเพื่อวันนึงมันจะใช้ได้ และถ้าได้ข้อมูลใหม่ๆก็จะมาเพิ่มเติมที่หลัง
credit รูปภาพ : google
วันอังคารที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2560
Platform คืออะไร? และอะไรคือ Platform ?
ได้ยืนคำนี้บ่อยมากกกกกและมากกกก ตอนแรกๆก็งงนะว่ามันคืออะไร? แอบสงสัยด้วยความที่อยากรู้อยากเห็น อยากหาข้อมูล ก็แอบเปิดอ่านในหนังสือบ้างหาในGoogleก็เจอนะ มีคนเขียนไว้ยาวมากอ่านไม่จบ 555 จากที่ได้หาข้อมูลและหาความหมายคำจำกัดความจากหลายๆแหล่ง เข้าใจและสรุปได้ว่า
ไอ้ Platform เนี้ย!!!! มันก็คือพื้นที่เปล่าๆในโลกออนไลน์ที่ให้ผู้บริโภค( ผู้บริโภคนี้ไม่ได้หมายความว่าคนชื้อของนะ หมายถึงคนใช้อุปกรณ์มือทั่วๆไปนี้แหละ) เข้ามาทำกิจกรรมเครือข่ายดิจิทัล ผ่าน application
ยกตัวอย่างเช่น "ตลาดนัด"
Platform ก็เปรียบเหมือนที่เปล่าๆในตลาดนัด และ มีApplication คือร้านค้าขายของ ที่ให้เอาของมาขาย และของก็มีหลายแบบหลายอย่างให้เลือก ก่อให้เกิด Start UP
ถามว่า.... Start UP คืออะไร ?
สรุปง่ายๆก็คือ คนเล่นโซเชียลนี้แหละ แต่พัฒนาตัวเองมาเป็นผู้ประกอบการดิจิทัล (ก็คือคนที่เอาของมาขายในโลกออนไลน์ และขายในโลกออฟไลน์ ด้วยนั้นแหละ) และมันมีชื่อเรียกหลายอย่างนอกจาก Start UPแล้วยังมี Info-Entrepreneur, Fintech, Social Enterprise แล้วแต่คนเรียกตามวัตถุประสงค์ ที่จะเข้ามาเป็นผู้ประกอบการดิจิทัล
#หัดเขียน
จิราพร กล้วยๆแต่ไม่กล้วย
สะดุดตากับกล้วยตากแบรนด์ "จิราพร" ที่มีแบรนด์ "banana society" ที่เป็นคู่แข่งทำ me to product (ใช้ความกลมกลืนเพื่อเข้าตล าด) จิราพรใช้ความแตกต่างเรื่อง ของบรรจุภัณฑ์ในรูปแบบกล่อง กระดาษ เขาสร้างความโดนเด่นในการใช้ตัวอักษรสีทองกับขาว และใช้พื้นหลังโทนสีดำ ที่ทำให้รู้สึกเบาและนุ่มนว ลกว่าผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งใน ตลาดผลไม้แปรรูป ข้างๆกล่องบรรจุภัณฑ์จะมีรู ปภาพกระบวนการผลิต. ที่สื่อสารให้เห็นถึงแหล่งที่มาของกล้วย ทำให้สอดคล้องกับ "Natural" ที่อยู่บนกล่อง นอกจากจะขายกล้วยตากแต่ยังข ายแหล่งที่มาของกล้วยด้วย ทำให้เขามีบรรจุภัณฑ์ที่เหนือกว่าคู่แข่งในตลาดผลไม้แป รรูป
วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2560
Co-branding คืออะไร?

คือการร่วมมือระหว่าง brandหนึ่ง กับอีก brandหนึ่ง เพื่อขยายโอกาสและเติมเต็มใ
Apple (จัดอยู่ในกลุ่มที่ชื่นชอบเ
Nike (กลุ่มที่ชื่นชอบการออกกำลั
ทั้งคู่ต่างมองหาสิ่งที่จะทำให้การออกกำลังกายนั้นสนุก
ธุรกิจความงาม EVE AND BOY
EVE AND BOY ธุรกิจค้าปลีกสินค้าความงาม . เขาสร้างความแตกต่างจากคู่แ ข่งขันในตลาดสินค้าความงาม ที่ในปัจจุบันมีการแข่งขันอ ย่างรุนแรง. เขาเจาะตลาดโดยทำ low price โดยลดกำไรจาก 30% มา15% ประกอบกับ ทำ price lining เพื่อให้สอดคล้องกับ มัลติแบรนด์ ที่มีอยู่ในร้าน และยังทำ distibutor กับแบรนด์อื่นๆจากต่างประเท ศ โดยนำเข้าสินค้ามาวางในร้าน ด้วยข้อเงื่อนไขราคาที่น้อย กว่า
เสริมจุดแข็งโดยให้ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)เข้ามาตรวจสอบสินค้าทุกชิ้นเพื่อการันตี
คนตามเทรนด์ไม่ได้ติดอยู่แค่นิตยสารความงามหรือหน้าจอทีวี การเติบโตของอินเทอร์เน็ตเป็นตัวกระตุ้นให้คนซื้อตาม
เมื่อแบรนด์เครื่องสำอางที่ อยู่ในใจผู้บริโภค เดินมาที่ร้าน EVE AND BOY ก็เจอและชื้อ
จึงเป็น key success factors ที่เขาประสบความสำเร็จ กับกลุ่มเป้าหมายที่ตั้งไว้
ballnava
#หัดเขียน
เสริมจุดแข็งโดยให้ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)เข้ามาตรวจสอบสินค้าทุกชิ้นเพื่อการันตี
คนตามเทรนด์ไม่ได้ติดอยู่แค่นิตยสารความงามหรือหน้าจอทีวี การเติบโตของอินเทอร์เน็ตเป็นตัวกระตุ้นให้คนซื้อตาม
เมื่อแบรนด์เครื่องสำอางที่
จึงเป็น key success factors ที่เขาประสบความสำเร็จ กับกลุ่มเป้าหมายที่ตั้งไว้
ballnava
#หัดเขียน
ทำไม? สื่อต่างๆถึงยกเกมส์ROV ให้เป็น mobile moba อันดับ 1 ของไทย
เกมส์ROV จากค่าย Garena ทำไม? สื่อต่างๆถึงยกให้เป็น mobile moba อันดับ 1 ของไทย.
เริ่มต้นจากเดิมแล้ว ค่าย garena มีเกมส์ moba on pc เกมส์ดังๆอย่างเช่น HON ที่เป็นเกมส์ชูธง ที่มีฐานกลุ่มผู้เล่นขนาดให
Garena มองเห็นโอกาส การเติบโตของ สังคมออนไลน์ จากการเพิ่มของจำนวนผู้ใช้ มือถือและแท็บเล็ต (โดยไม่มีเพียงแต่ Garena Thailand ที่ปรับตัวจากโอกาส แต่ยังมี Garena สาขาประเทศอื่นๆทีาต้องปรับ
เริ่มจากสร้าง #Patform เพื่อรวมกลุ่มผู้เล่นเกมส์ ผ่าน application เข้ามาเป็นสังคมเดียวกัน เพื่อใช้ในการสื่อสารระหว่า
จึงไม่แปลก! ที่ ROV จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดข้า
ผู้เล่นสามารถสร้างเรื่องรา
ประเด็นที่น่าสนใจของROVคือ
ballnava
#หัดเขียน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
Facebook Insight
Facebook Insight เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่น่าสนใจเลยที่เดียว แต่ละคำสั่งก็น่าสนใจอยู่มากเลยนะครับ มันช่วยให้เราทำแคมเปญ และวิเคราะห์พฤต...

-
เรามั้กจะได้ยินได้เห็นแต่คำว่า 4.0 ในยุคนี้ซึ่งเทรน 4.0 กำลังมารวมถึงการตลาด 4.0 แล้วด้วยคำถามที่ว่าก่อนจะมาเป็น 4.0 เนี้ย มันต้องมี 1.0 / 2...
-
ครั้งแรกกับการสัมภาษณ์งานในครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีเลยก็ว่าได้เลยครับ ผมได้รับโทรศัพท์ของตอนเช้าวันที่20/กย/60 และได้ตกลงนัดสัม...
-
ผมมี website มาแนะนำครับเป็นเว็บ Piktochart ที่ใช้ออกแบบงานต่างๆไม่ว่าจะเป็น Infographics , Presentation (ที่ใช้นำเสนอ), Poster (ประ...